'17' คำศัพท์ที่ควรรู้เกี่ยวกับ KM

Jan 6, 2011

1. Action Learning ::
     การเรียนรู้จากการปฏิบัติเป็นการเรียนรู้ที่จากการปฏิบัติที่อาศัย ประสบการณ์ความรู้ มุมมองที่กลุ่มหรือบุคคลมี จากการซักถาม แลกเปลี่ยนความเห็น นำไปสู่ทางออกใหม่ๆที่แตกต่าง นำความรู้มาคิดใคร่ครวญแล้วแลกเปลี่ยนถ่ายทอดแก่กัน สร้างประโยชน์ให้กับตน ทีม และองค์การ การเรียนรู้นี้เกิดจากความสมัครใจขับเคลื่อนโดยผู้เรียนและกลุ่ม

2. Analyzing Mistakes ::
     การวิเคราะห์ความผิดพลาดจากการทำงาน

3. Brainstorming ::
     การ ระดมสมองในการทำงาน การ เสนอวิธีการแก้ไขปัญหา หรือเสนอความคิดเห็นของสมาชิกในกลุ่มโดยวิธีคิดแบบปัจจุบันทันด่วน เท่าที่ความคิดของสมาชิกคนใดคนหนึ่งจะคิดขึ้นมาได้ในขณะนั้น ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ มีแต่เสนอขึ้นมาเท่านั้น คำเสนอจะถูกบันทึกไว้ (บนกระดานดำ) เพื่อประเมินผลหรือตามมติภายหลัง

4.Coaching ::
    ารพัฒนาระบบพี่เลี้ยง การสอนงานลูกน้องของตนเอง การสอนงานเป็นเทคนิคหนึ่งในการพัฒนาบุคลากรหรือลูกน้องของตน

5. Computer - Mediated Communications (CMC) ::
     การติดต่อสื่อสารหรือการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ผ่านคอมพิวเตอร์ เป็นรูปแบบอย่างกว้างๆที่สามารถกำหนดการติดต่อปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปหรือเป็นเครือข่ายบนคอมพิวเตอร์

6. External Consultants :: 
     การมีที่ปรึกษาภายนอกองค์กร

7. Learning Contracts ::
     การทำสัญญาการเรียนรู้ สัญญาที่ผู้เรียนกับผู้สอนร่วมกันกำหนด  เพื่อใช้เป็นหลักยึดในการเรียนว่าจะเรียนอะไร อย่างไร เวลาใด ใช้เกณฑ์อะไรประเมิน

8. Mentoring ::
     เป็น การให้ผู้ที่มีความสามารถหรือเป็นที่ยอมรับ หรือผู้บริหารในหน่วยงานให้คำปรึกษาและแนะนำช่วยเหลือรุ่นน้องหรือผู้ที่ อยู่ในระดับต่ำกว่าในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานเพื่อให้มีศักยภาพสูง ขึ้นแต่อาจไม่เกี่ยวกับหน้าที่ในปัจจุบันโดยตรง

9. Networking ::
     การสร้างเครือข่ายการทำงาน

10. Portfolios ::
     การจัดทำแฟ้มผลงาน

11. Project work ::
     การพัฒนาการทำงานเชิงโครงการ

12. Rotating Jobs ::
     การหมุนเวียนการทำงาน

13. Team Working ::
     การทำงานเป็นทีม
 
14. Knowledge Strategy [การวางแผนกลยุทธ์ทางด้านองค์ความรู้]
     การวางแผนจัดการด้านองค์ความรู้และการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้นั้น ไม่ต่างจากการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Business Strategy) กล่าวคือ ผู้บริหารองค์กรและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องทราบให้แน่ชัดว่ากำลังจะ นำศาสตร์ด้าน KM มา ใช้เพื่อสร้างประโยชน์ในลักษณะใดต่อองค์กร โดยจะต้องทราบ อย่างแน่ชัดว่าจะใช้งานและบริหารจัดการองค์ความรู้เหล่านั้นในลักษณะใดโดย ให้อยู่บนพื้นฐานที่ว่าการลงทุนที่เกิดขึ้นกับระบบ KM ต้อง สร้างประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรของตน ในหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย หากจะเริ่มต้นวางแผนออกแบบกลยุทธ์การจัดการองค์ความรู้ให้เกิดขึ้นอย่างมี ประสิทธิภาพ ก็อาจจะต้องว่าจ้างบริษัทผู้เชี่ยวชาญในการศึกษาเพื่อออกแบบระบบที่มีความ สอดคล้องกับการกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ นอกนั้นจะต้องตระหนักว่า แม้จะมีการออกแบบกลยุทธ์ในการจัดการองค์ความรู้ไปแล้ว กลยุทธ์ดังกล่าวก็ควรจะได้รับการตรวจสอบอยู่เป็นประจำว่ายังมีประสิทธิภาพ และเข้ากันได้กับกลยุทธ์ทางธุรกิจซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์การ แข่งขันอยู่เสมอ


15. Knowledge Sharing [การแลกเปลี่ยนความรู้]
     ใน สมัยก่อนรูปแบบของการแบ่งปันความรู้แก่กันถูกจำกัดอยู่ในวงแคบๆ พ่อแม่สอนการบ้านลูก ครูสอนหนังสือนักเรียน เพื่อนติวหนังสือให้เพื่อน หรือกว้างออกมาหน่อยก็คือนักเขียนเขียนหนังสือขายให้คนอ่านการแบ่งปันความ รู้ส่วนใหญ่เป็นแบบทางเดียว พ่อแม่สอนการบ้านลูก แต่ลูกไม่ได้สอนอะไรให้พ่อแม่ ครูสอนหนังสือนักเรียน แต่นักเรียนไม่ได้สอนหนังสือให้ครู นักเขียนเขียนให้อ่าน แต่คนอ่านก็ไม่ได้แบ่งปันอะไรกลับมาให้นักเขียน แต่ก็มีบ้างที่เป็นการแบ่งปันแบบหลายทาง เช่น เพื่อนติวหนังสือให้เพื่อน เพื่อนคนนึงอาจจะเป็นคนนำในการติวและเพื่อนอีกคนก็อาจจะถามคำถามที่ตัวเอง สงสัยขึ้นมา ซึ่งเพื่อนที่เป็นคนติวอาจจะตอบไม่ได้แต่ก็อาจจะมีเพื่อนคนอื่นๆที่ช่วยตอบ ให้ได้หรือ การเรียนการสอนในห้องเรียนสมัยใหม่ที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง ครูอาจจะไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้เพียงฝ่ายเดียว ไม่ใช่เอาแต่เขียนกระดานหรือปิ้งแผ่นใส แต่ครูเป็นเสมือน Facilitator ที่ คอยกระตุ้นให้นักเรียนถ่ายทอดความรู้ของตัวเองให้เพื่อนๆ ฟัง โดยครูเป็นแค่คนคอยไกด์ให้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องอย่างไรก็ตาม การแบ่งปันความรู้แบบหลายทางก็ยังจำกัดอยู่แค่ในวงแคบๆ เท่านั้น ภายในกลุ่มเพื่อนไม่กี่คนหรือในห้องเรียนเล็กๆ เพราะถ้าคนเยอะขึ้นเมื่อไรก็จะเกิดความโกลาหลขึ้นทันที ต่างคนต่างพูดจนไม่รู้จะฟังใคร หรือมีเวลาจำกัดที่ให้พูดกันทุกคนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นไม่จบเรื่องปัจจุบันถ้าคุณอยากแบ่งปันความรู้ คุณก็แค่เขียนบล็อก และเปิดให้ผู้อ่านแสดงความคิดเห็นเข้ามาได้ ซึ่งก็จะช่วยเสริมความรู้ที่คุณนำเสนอให้มีความแข็งแรงมากขึ้น นอกจากบล็อกแล้วก็ยังมีรูปแบบการแบ่งปันความรู้แบบหลายทางอื่นๆ อีก เช่น Wikipedia บริการจาก Yahoo ที่ ออกแนวเว็บบอร์ด คือให้คนตั้งคำถามได้ และเปิดให้คนอื่นมาตอบคำถาม ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่พยายามหาคำตอบจากแหล่งต่างๆ แล้วไม่พบ หรือไม่ชอบการค้นหาคำตอบด้วยตัวเองแต่ยินดีรอให้คนอื่นมาตอบให้ ซึ่งแตกต่างออกไปจากเว็บบอร์ดทั่วๆ ไปก็คือระบบการให้คะแนน โดยถ้าใครที่ตอบคำถามได้ดีจนเจ้าของคำถามอ่านแล้วพอใจกับคำตอบ เจ้าของคำถามจะเลือกคำตอบนั้นเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ผู้ตอบคำถามก็จะได้รับคะแนนที่เป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่ง หรือถ้าคุณเขียนบทความลง Google คุณจะได้ทั้งชื่อเสียงเพราะรูปและประวัติย่อของคุณจะถูกเผยแพร่ไปพร้อมกับบทความด้วย

3. Knowledge Workers
     ทุนมนุษย์  นับเป็นทรัพยากรอันสำคัญยิ่งขององค์กร ที่เพียบพร้อมไปด้วยทั้ง Tacit Knowledge  ทักษะประสบการณ์ในการทำงาน และเจตคติที่มีต่อองค์กรใน ยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและความเปลี่ยนแปลงนั้นแผ่กระจายไปทั่วโลก ดังนั้นทุกองค์กรจึงพยายามที่จะแข่งขันเพื่อให้องค์กรอยู่รอด ก้าวหน้าและสง่างามกว่าองค์กรอื่น สิ่งที่จะช่วยให้องค์กรสามารถแข่งขันได้นั้นทุกคนในองค์กรต้องทำงานโดยอยู่ บนพื้นฐานความรู้ (Knowledge base) เป็นสำคัญ Blue collar workers จึงกำลังถูกแทนที่ด้วย Knowledge workers หรือผู้ปฏิบัติงานบนพื้นฐานความรู้ซึ่ง Knowledge workers นี้จะเป็นผู้ที่มีศาสตร์เป็นฐานความรู้และมีศิลป์ในการบริหารจัดการในการนำ ความรู้มาประยุกต์ใช้ในการทำงานได้โดย Knowledge workers จะมีคุณลักษณะดังนี้

1)  มีความสามารถพิเศษในการแก้ปัญหาใหม่ ๆ
2)  มีความคิดจิตใจที่เป็นอิสระ
3)  การจูงใจที่ดีคือการยอมรับเมือเขาสามารถทำงานได้บรรลุผลสำเร็จ
4)  ชอบทำงานเป็นทีม
5)  ไม่ชอบการควบคุม
6)  ชอบที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระในการสร้างทีม

การ บริหารจัดการโดยใช้วิธีควบคุมและการกำกับทีมจะทำให้ความสำเร็จของงานที่ได้ ไม่ยั่งยืน แต่ทีมที่สามารถควบคุมดูแลตนเองได้จะเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะทีมจะมีคุณลักษณะเฉพาะคือ  ชอบที่จะเรียนรู้ในการควบคุม ตนเอง องค์กร เพียงมีแนวทางและเป้าหมายที่ชัดเจนมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทีมสามารถสร้าง สรรค์ผลงานร่วมกันได้อย่างอิสระ (Delegate & Support)เขาจะสามารถนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จได้โดยง่ายการ บริหารจัดการ Knowledge workers จึงเป็นเรื่องที่ยากเพราะผู้บริหารมักยึดติดกับการสั่งการและการควบคุม (Direct & Control) ในขณะที่การทำงานร่วมกับ Knowledge workers ผู้ บริหารจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ร่วม จริงใจ และ สร้างให้มีความรู้สึกร่วมกันในทีมในการสร้างชื่อเสียงร่วมกัน ซึ่งนับเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ สิ่งเหล่านี้ต้องการทั้งสติปัญญา ความรู้ความสามารถในงาน ความเข้าใจกันโดยเฉพาะความเข้าใจความต้องการพื้นฐานของมนุษย์และความสามารถ ในการครองใจผู้ร่วมงานซึ่งต้องใช้ทักษะในการบริหารคน (Human Skill) โดยเฉพาะความสามารถในการสร้างมนุษยสัมพันธ์อันดีกับผู้ร่วมงาน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องท้าทายความสามารถของผู้บริหารยุคใหม่อย่างมาก

4. Leverage of knowledge asset
Knowledge asset
SECI คือกระบวนการสร้างความรู้
Ba คือพื้นที่ที่ก่อให้เกิดกระบวนการสร้างความรู้
Knowledge Assets คือ ความรู้ที่สร้างขึ้นมาได้จาก SECI

ความรู้ที่สร้างจาก SECI จะออกมาในรูป Knowledge Assets อย่างไรก็ตาม Knowledge Assets เองก็สามารถนำกลับไปเป็นต้นทุนในกระบวนการ SECI ครั้งต่อๆไปได้อีกเหมือนกัน

Knowledge Assets แบ่งเป็น 4 แบบ

1. Experimental - ความรู้แบบ tacit ที่เกิดจากประสบการณ์ในการทำงาน และสายสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า ฯลฯ
    ได้แก่: ทักษะในการทำงานของแต่ละคน, ความรักในการทำงาน, passion

2.Conceptual - ความรู้แบบ explicit ที่แสดงออกผ่านภาพลักษณ์ สัญลักษณ์ และภาษา
    ได้แก่: คอนเซปต์ผลิตภัณฑ์, ดีไซน์, แบรนด์

3.Routine - ความรู้แบบ tacit ที่วนๆ เป็นรูทีนอยู่ในองค์กร เช่น ทักษะในการทำงานของทีมวิธีหรือขั้นตอนการทำงานในองค์กรวัฒนธรรมองค์กร

4.Systemic - ความรู้ explicit ที่จัดทำเป็นแพกเกจ เช่น เอกสาร คู่มือ สเปก databaseสิทธิบัตร

0 ความคิดเห็น:

Post a Comment

 

About Me

My photo
ชื่อ 'จูน' นะจ๊ะ ;') ,, นศ. หลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศ [D.1] ปี 2 มสด... . อยากรู้อะไรก็ถามมา !

Followers

Guests Book


ShoutMix chat widget